‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี แถลงสรุปประเด็นสำคัญ พร้อมตอบคำถามสื่อ หลังประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2567 ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ ม.ราชภัฏเชียงใหม่ ต.ขี้เหล็ก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ วันนี้ (29 พ.ย.2567)
‘แพทองธาร ชินวัตร’นายกรัฐมนตรี ระบุว่า วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2567) เป็นการประชุม ครม. นอกสถานที่ครั้งแรก ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยนายกฯตั้งใจมาเพื่อติดตามข้อสั่งการจากเหตุการณ์อุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงรายที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการต่างๆ ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนของบ้านเรือน อาคารสำนักงาน นอกจากนี้ เป็นการตอกย้ำให้นักท่องเที่ยวทั้งภายใน และต่างประเทศมีความมั่นใจว่าจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย พร้อมแล้วที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งทางรัฐบาลได้จัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย ภายใต้โครงการ Winter Festival ในส่วนของปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง PM2.5 ทางรัฐบาลได้มีมาตรการที่ชัดเจน และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องต่อความจำเป็น และเร่งด่วน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ปีหน้าปัญหาหมอกควันในจังหวัดเชียงใหม่ จะต้องลดน้อยลง เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีสุขภาพ และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
สำหรับประเด็นการประชุม ครม.ที่สำคัญวันนี้ (29 พฤศจิกายน 2567) สรุปได้ดังนี้
1. เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคใต้ ที่มีสาเหตุมาจากฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีปริมาณน้ำเป็นจำนวนมาก จึงได้สั่งการให้ทางท่านรองนายกฯ อนุทิน รมช. กระทรวงมหาดไทย และรมช. กระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน โดยได้รับรายงานว่า มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก คือ จังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี สงขลา และสตูล โดยที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือในการบูรณาการความช่วยเหลือ
ทางรัฐบาลได้สั่งการให้ทางศอ.บต. ประสานงานกับศปช. ส่วนกลางในการเร่งรัดการทำงานจากทุกส่วนราชการ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของอาหาร ที่มีการประกอบอาหาร รวมถึงโรงครัวพระราชทาน พร้อมกับมอบถุงยังชีพให้กับทุกครอบครัว หน่วยงานทหารได้เข้ามาช่วยเหลือในด้านกำลังพล และอุปกรณ์ต่างๆ อพยพพี่น้องประชาชนจากพื้นที่น้ำท่วมสูง หน่วยแพทย์ได้กระจายลงไปในทุกพื้นที่เพื่อให้รักษาโรคในเบื้องต้น นอกจากนี้ทางกรมป้องกันสาธารณภัย และสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เร่งมอบเงินเยียวยาให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ ซึ่งทางรัฐบาลเชื่อมั่นว่า ทุกภาคส่วนได้ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพื่อให้ปัญหาในพื้นที่ลดลงได้อย่างเร็ว
2. ครม. ได้เห็นชอบในหลักการของโครงการเร่งด่วน ของจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน 39 โครงการ กรอบวงเงินรวม 641.13 ล้านบาท โดยให้จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย ขอรับจัดสรรงบฯ ปีงบประมาณ 2568 งบกลาง ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ซึ่งส่วนมากเป็นโครงการซ่อมแซมเส้นทางคมนาคม เขื่อนป้องกันตลิ่ง ระบบการระบายน้ำ รวมถึงโครงการฟื้นฟู และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว
3. ครม. ได้เห็นชอบมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯเสนอ เพื่อควบคุมพื้นที่เผาไหม้จากการเผาข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และอ้อยโรงงาน และควบคุมการเผาในกลุ่มพืชเป้าหมาย ตลอดจนการควบคุมฝุ่นละอองในเขตเมือง โดยในช่วงวิกฤตฝุ่น PM2.5 ให้มีการออกประกาศห้ามรถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าเขตเมือง และตรวจจับรถควันดำอย่างเข้มงวด รวมทั้งควบคุมพื้นที่ก่อสร้าง การจัดการหมอกควันข้ามแดน โดยสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล ศูนย์แจ้งเตือน และศูนย์บัญชาการเฝ้าระวัง ควบคุม และดับไฟ ในประเทศเพื่อนบ้าน
4. สุดท้าย ขออนุญาตประชาสัมพันธ์การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในไทยเป็นการชั่วคราว นับเป็นวาระอันสำคัญและเป็นสิริมงคลยิ่ง ที่รัฐบาลได้จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ28 กรกฎาคม 2567 และเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ในปีหน้า จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมชมริ้วขบวนอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ตลอดเส้นทาง โดยพี่น้องประชาชนสามารถเข้าสักการะพระเขี้ยวแก้ว ได้ระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ 2568 ณ ท้องสนามหลวง
ส่วนกรณี สะพานพระราม 2 คานก่อสร้างถล่ม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ‘แพทองธาร ชินวัตร’นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม บินด่วนจากจังหวัดเชียงใหม่ ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมถึงเคลียร์พื้นที่เพื่อลดผลกระทบด้านการจราจร พร้อมกันนี้นายกฯได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้สูญเสีย และยำว่า รัฐบาลจะดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิต และตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งกำชับทุกหน่วยงานติดตามการทำงานของผู้รับเหมาภาคเอกชนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีก