‘เศรษฐา’ โชว์ปราศรัยครั้งแรกลั่นไม่เอาเผด็จการ คับแค้นใจ ผู้นำไทยไม่ออกไปค้าขายเวทีโลกมา 8 ปี วอนกา ‘เพื่อไทย’ 2 ใบ ขอเป็นรัฐบาลดันนโยบายใหม่ สร้างรายได้ให้ประชาชน
17.30 น. วันที่ 11 มี.ค. 2566 ที่วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร อ.เมือง จ.พิจิตร พรรคเพื่อไทยเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ‘พิจิตร คิดใหญ่ทำเป็นเพื่อไทยทุกคน’ ท่ามกลาง ประชาชนที่มารับฟังการปราศรัยกว่า 10,000 คน โดยมีแกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พานทองแท้ ชินวัตร สมาชิกพรรคเพื่อไทย ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร พรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย เขต 1 นายปุณยวัจน์ เหลืองวิจิตร เขต 2 ภูดิท อินสุวรรณ์ อดีต ส.ส.พิจิตร พรรคพลังประชารัฐ เขต 3 วิชัย ด่านวิจิตร ร่วมขึ้นเวที
โดย แพทองธาร ปราศรัยตอนหนึ่งว่า เรามองเห็นภาพชาวพิจิตรมีศักยภาพสามารถแก้ปัญหา โดยพรรคเพื่อไทยจะหนี้เกษตรกร3 ปี เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่าใน 4 ปี เอาสามดี เข้ามาช่วยเพื่อให้ดินดีน้ำดีเพื่อเกษตรกรลดต้นทุนลง
สองเมล็ดพันธุ์ดี เพื่อที่จะให้ลดปัญหาลดภาระระหว่างการเพาะปลูก และสุดท้ายราคาสินค้าเกษตรดียกแผงค่าข้าวต้องกลับมาราคาดีเหมือนเดิม ส่วนราคาปุ๋ยก็ต้องถูกลง เพราะราคาปุ๋ยทุกวันนี้แพงมาก ทำให้พี่น้องได้กำไรน้อยนิด และบางทีก็ไม่ได้กำไร แถมพรรคเพื่อไทยยังมีนโยบายที่จะใช้บล็อกเชนโดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้พี่น้องไม่ต้องจ่ายเงิน
“พรรคเพื่อไทยจะใช้เทคโนโลยีมาแบ่งเขตให้พี่น้องมีที่ดินที่ทำกิน ใครไม่มีที่ดินจะทำให้ และแก้กฎหมายให้มีที่ดินทำกิน พรรคเพื่อไทยเล็งเห็นปัญหา และขอฝากผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร ทั้ง 3 เขตให้แลนด์สไลด์ด้วย”
ในช่วงท้าย แพทองธาร ระบุว่า “วันนี้พิเศษที่สุดที่ จ.พิจิตร ขอแนะนำ คุณเศรษฐา ที่อยู่ในทีมเศรษฐกิจมั่นใจจะดีขึ้นแน่ค่ะ”
จากนั้น เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ปราศรัยบนเวทีพรรคเพื่อไทยเป็นครั้งแรกว่า ตนมาพบประชาชนในครั้งนี้รู้สึกเป็นเกียรติ และได้รับการตอบรับที่ดี เป็นความซึ้งใจเป็นอย่างมาก วันนี้ตนมีหัวใจที่รักประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่เอาเผด็จการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ตนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ตนในฐานะนักธุรกิจที่สั่งสมประสบการณ์มา 30 กว่าปี ที่ก้าวออกมาจากวงการธุรกิจแล้วมาทำงานเพื่อบ้านเมือง
เศรษฐา ปราศรัยว่า 8 ปีที่ผ่านมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก ประชาชนมีรายได้ลดลง แต่รายจ่ายสูงขึ้น ปัญหายาเสพติดมีทุกๆเรื่อง ลูกหลานไม่เห็นอนาคตประเทศ คนที่มีความสามารถออกย้ายถิ่นฐานออกไป บุตรหลานไม่อยากมีลูกเพราะไม่เห็นอนาคตที่สดใส คนแก่คนเฒ่าที่เกษียณไปมีเงินเก็บไม่พอที่จะเลี้ยงดูตัวเองอย่างมีความสุขอย่างมีศักดิ์ศรีในสังคม
“ประเทศไทยเคยเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียลองดูวันนี้เราจะถอยไปขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ประเทศเหล่านี้พัฒนาไปไกลเกินกว่าเรา อัตราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีเติบโตไปมากกว่าใครและทำให้ประเทศไทยไม่มีที่ยืนในเวทีโลก ผู้นำไม่เคยออกไปขายสินค้า เป็นความคับแค้นใจของพวกเรา”
เศรษฐาระบุว่า 8 ปีที่ผ่านมามันเพียงพอหรือยัง และตนคิดว่าพอแล้วอีกไม่กี่เดือนหน้าจะเป็นวันที่ 7 พ.ค. หรือ 14 พ.ค.จะมีวันสำคัญยิ่งคือวันเลือกตั้ง ถ้าเราไม่พอใจกับสิ่งที่เราเป็นอยู่มา 8 ปี ผมว่าเราถึงเวลาที่จะเดินเข้าคูหาไปกาเพื่อไทยทั้ง 2 เบอร์ทั้งคนทั้งพรรคต้องกาทั้งคนทั้งพรรค ไม่มีการฝากไปให้คนอื่น ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ที่พรรคเพื่อไทยคิดมา ที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมถ้าเราไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบาย ได้พี่น้องก็จะไม่ได้ในสิ่งที่เราสัญญาไว้
“ผมที่อยากกลับมาอยู่ ไม่อยากกลับมาอธิบายว่าทำไมถึงทำไม่ได้ ผมอยากกลับมาเพราะนโยบายของใหม่ๆ ที่อยากให้มีชีวิตที่ดีขึ้นมีรายได้ที่สูงขึ้น” เศรษฐา ระบุ
เศรษฐา ปราศรัยว่า ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนใช้นโยบายนำความเจริญรุ่งเรืองให้ประชาชนไทย วันนี้พรรคเพื่อไทยภายใต้สโลแกนคิดใหญ่ทำเป็น เคยทำและหวังว่าจะได้ทำมา จึงขอเสียงพี่น้องประชาชนให้เรามุไปสู่จุดมุ่งหมายแลนด์สไลด์ทั้งหมด
“ผมอยากเห็นประเทศชาติมีอนาคตมีแสงสว่างที่ดีนำพาลูกหลานเราไปสู่อนาคตที่สดใสวันนี้ ผมขอเป็นครั้งแรกที่มาปราศรัยที่นี่ชาวพิจิตรทุกท่าน” เศรษฐา กล่าว