‘ไอติม’ โวโหวต ‘พิธา’ ฉลุยนั่งนายกฯ จบยกแรก – มั่นใจ ‘ส.ว.’ จะฟัง ส.ส.เสียงข้างมากที่ ปชช.เลือกเข้ามา – ลั่นไม่ลดเงื่อนไขที่หาเสียงไว้ มองประชาชนมีสิทธิลงถนนหาก ‘แคนดิเดตนายกฯ ก้าวไกล’ ตกสวรรค์
วันที่ 8 ก.ค. 2566 พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการเจรจากับ ส.ว. เพื่อโหวตให้กับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ในการประชุมร่วมรัฐสภา วันที่ 13 ก.ค.นี้ ว่า ขณะนี้มีการเตรียมการ 2 ส่วน คือ
1. การเตรียมการในเรื่องการลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.นี้ เราก็พยายามสื่อสารกับประชาชน และส.ว. เป็นวงกว้างให้มากที่สุด ซึ่งยังยืนยันหลักการเดิมว่า เราคาดหวังให้ ส.ว.ลงมติให้กับ พิธา ไม่ใช่ว่าต้องชอบ พิธา หรือชอบพรรคก้าวไกลเป็นการส่วนตัว แต่ในฐานะของแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่มี ส.ส.มากที่สุด และรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง ของ ส.ส. ตามครรลองประชาธิปไตย และเชื่อว่าจะมี ส.ว.จำนวนเพียงพอที่จะลงมติตามหลักการนั้น
2.หาก พิธา ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และมีการจัดตั้งรัฐบาลกับ 8 พรรคร่วม ตามเอ็มโอยูที่ได้ทำร่วมกัน ซึ่งโจทย์ที่สำคัญกว่าคือการเตรียมความพร้อมการบริหารประเทศ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่เราได้สัญญากับประชาชนไว้ก่อนการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นผังกลไกในฝ่ายบริหารและตั้งคณะทำงาน เพื่อผสมผสานนโยบายของทั้ง 8 พรรค ขับเคลื่อนการทำงานของฝ่ายบริหาร รวมถึงฝ่ายนิติบัญญัติที่ทางพรรคก้าวไกล ได้เตรียมชุดกฎหมายที่เราได้สื่อสารกับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง เพื่อยื่นเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
เมื่อถามว่า จากกรณีที่ ส.ว.บางส่วนกลับลำไม่โหวตให้กับพรรคก้าวไกลตรงนี้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พริษฐ์ กล่าวว่า จะมี จำนวน ส.ว.เท่าไหร่เดี๋ยวก็รู้ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ตนไม่อยากให้สังคมตื่นตระหนกต่อความเห็นของ ส.ว.บางคนมากเกินไป ด้วย 2 เหตุผล คือ 1.มีส.ว. ที่ออกมาแสดงความเห็น หลากหลายมากทั้งที่สนับสนุน ไม่สนับสนุน และสงวนท่าที แต่เมื่อรวบรวมจำนวน ส.ว.ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทั้งหมด ก็ถือว่าเป็นส่วนน้อยมาก คงไม่สามารถคาดการณ์ตัวเลขจากความเห็นของคนไม่กี่คนได้ 2.การที่ขอให้ส.ว.มาโหวตให้กับนายพิธา ไม่ได้อยู่ในฐานคิดว่า ส.ว.ต้องเห็นชอบนโยบายของพรรคก้าวไกล หรือคิดว่าพรรคก้าวไกล ตอบโจทย์ของประเทศมากที่สุด
“เราเพียงขอแค่ว่าให้โหวตตามหลักการประชาธิปไตย คือหากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รวบรวมเสียงส.ส.ได้เกินกึ่งหนึ่ง ก็ต้องให้ความเห็นชอบตามนั้น เราขอแค่ให้มีส.ว.เพียงพอที่เคารพหลักการแต่นั้นพอ” พริษฐ์กล่าว
เมื่อถามถึงการประชุมพูดคุยกับ 8 พรรคร่วมในวันที่ 11 ก.ค.นี้ จะมีการพูดคุยอะไรบ้าง พริษฐ์ กล่าวว่า เป็นการประชุมตามสัปดาห์ตามปกติ เพราเมื่อสภาฯ เปิดสมัยประชุมก็ต้องมีการประสานงานกัน ส่วนเรื่องการโหวตนายพิธาก็เป็นสิ่งที่เราได้ข้อตกลงกันตั้งแต่วันที่มีการเซ็นต์เอ็มโอยูฉบับแรก ก็คงไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อน
เมื่อถามว่า หากการโหวตครั้งแรก และครั้งที่ 2 พิธา ยังไม่ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องมีการเปลี่ยนตัวเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พริษฐ์ กล่าวว่า โดยหลักการตามประชาธิปไตย ครั้งเดียวก็ควรจบ ยิ่งเป็นแคนดิเดตจากพรรคการเมืองที่ได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน และรวบรวมเสียงส.ส.ได้เกินกึ่งหนึ่ง เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชน ที่สะท้อนผ่านการเลือกตั้งก็จะมีรัฐบาลที่มีเสียงส.ส.ประมาณ 312 เสียง และฝ่ายค้าน 188 เสียง ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ผ่านไป 4 ปี ประชาชนก็จะตัดสินผลงานผ่านการเลือกตั้งอีกครั้ง
เมื่อถามย้ำว่า หากรวบรวมเสียงได้ไม่ถึง 376 เสียง จะทำอย่างไร พริษฐ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งคาดการไปถึงตรงนั้น เรายังมี่ความเชื่อมั่นและคาดหวังว่า ส.ว.จะมีเยอะเพียงพอ ที่เคารพเสียงข้างมากของส.ส.
เมื่อถามว่า ถ้าโหวตนายกรัฐมนตรีไม่ได้หลายครั้งควรเปลี่ยนรายชื่อหรือไม่นั้น พริษฐ์ กล่าวย้ำว่า เราอย่าเพิ่งไปคาดการณ์อนาคต เพราะเชื่อมั่นและคาดหวังว่าโหวตครั้งเดียวจะจบ เพราะในมุมของพรรคก้าวไกลให้ความชัดเจนมากใน 2 ส่วน คือ 1.เรื่องจำนวนเสียงซึ่งมี 312 เสียง ถือว่าเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส.ไปพอสมควร และ2.ความชัดเจนในเรื่องของรัฐบาล 8 พรรคที่จะร่วมขับเคลื่อนด้วยกัน อย่างน้อยก็มีการระบุอยู่ใน MOU ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราจะจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและเอกภาพได้ และคาดหวังว่าส.ว.จะโหวตตามเสียงข้างมากของส.ส.
เมื่อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ว่าเสียงโหวตไม่เป็นที่พอใจของประชาชนแล้วจะเกิดการชุมนุมทางการเมืองในอนาคต พริษฐ์ กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิของประชาชน เพราะไม่ใช่ประชาชนเลือกพรรคก้าวไกลเพียงอย่างเดียว แต่ประชาชนเลือก 7 พรรคร่วมและพรรคการเมืองที่ไม่ได้อยู่ในนี้ด้วย และอาจมีสถานะเป็นฝ่ายค้าน ก็คาดหวังว่าเมื่อเขาได้ออกไปแสดงความเห็น 1 สิทธิ 1 เสียง แล้ว การบริหารจัดตั้งรัฐบาล และบริหารงานก็เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยเคารพ 1 สิทธิ 1 เสียงของประชาชน ฉะนั้นหากการโหวตนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยที่เคารพ 1 สิทธิ 1 เสียงของประชาชน ตนคิดว่าความไม่พอใจคงไม่จำกัดอยู่ที่พรรคก้าวไกล แต่จะเป็นประชาชนที่สนับสนุนหลักการประชาธิปไตยทั้งหมด
เมื่อถามว่า มีสัญญาณดีจากพรรคอื่นที่จะโหวตให้โดยไม่มีเงื่อนไขร่วมรัฐบาลหรือไม่ พริษฐ์ กล่าวว่า ถ้าเราอยู่ในระบบรัฐสภาที่เป็นปกติก็ไม่ได้คาดหวังว่าฝ่ายค้านจะมายกมือให้ซีกรัฐบาล แต่เมื่อเราอยู่ในระบบที่ไม่ได้เป็นไปตามกลไกปกติ เราก็จะขอบคุณอย่างยิ่งถ้ามีส.ส.ที่ไม่ได้อยู่ใน 8 พรรค และมีสถานะเป็นฝ่ายค้านมายกมือให้ พิธา ในรอบนี้เป็นพิเศษ เพื่อยืนยันหลักการ 1 สิทธิ 1 เสียงในการเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า ขณะนี้พรรคก้าวไกลยังมั่นใจในเสียงส.ว.พลังเงียบอยู่ใช่หรือไม่ พริษฐ์ ระบุว่า เราคาดหวังว่าจะมีเสียงส.ว.เยอะเพียงพอที่สนับสนุนหลักการนายกรัฐมนตรีตามเสียงข้างมากของส.ส. ส่วนตัวเลขจะเป็นอย่างไร วันที่ 13 ก.ค.ก็รู้กัน พร้อมย้ำว่า เราก็ยังเชื่อมั่นว่าส.ว.จะอยากเห็นประเทศเดินหน้าตามเจตจำนงของประชาชนที่แสดงออกมาผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีเพียงพอ
ส่วนกรณีที่ปลายสัปดาห์นี้ พิธา จะเดินสายลงพื้นที่ถือเป็นเรื่องปกติของคนที่ประสงค์จะเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกับประชาชนในวงกว้างที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นการเตรียมพร้อมในการเดินหน้าบริหารประเทศ
เมื่อถามย้ำว่า พรรคก้าวไกลจะยอมลดเงื่อนไขบางอย่างเพื่อให้ ส.ว.โหวตสนับสนุนหรือไม่ พริษฐ์ กล่าวย้ำว่า ไม่มีการลดวาระที่เราจะขับเคลื่อน เพราะเราถือว่า สิ่งที่เราต้องการจะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลง พิจารณาจากปัญหาประเทศที่เป็นอยู่ และเชื่อว่าจะตอบโจทย์ประเทศในอนาคตได้ดีที่สุด ซึ่งเราก็สื่อสารนโยบายก่อนการเลือกตั้ง และเมื่อประชาชนให้ความไว้วางใจกับเราในวาระที่เสนอไป มันก็เป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ที่ต้องขับเคลื่อนวาระที่เสนอกับประชาชนไปแล้ว พร้อมหวังว่าส.ว. ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ก็อยากเห็นนักการเมืองที่รักษาคำพูดของตัวเอง
“ฉะนั้นหวังว่า ส.ว. จะไม่ใช้อำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีที่ตนเองมีจาก มาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญ มาเป็น เงื่อนไขพยายามให้เราเปลี่ยนวาระจากที่เรา ได้สื่อสารกับประชาชน พร้อมย้ำยังหวังว่าส.ว. จะอยากเห็นนักการเมืองและพรรคการเมืองที่รักษาคำพูดของตัวเอง” พริษฐ์กล่าว