แม้การเมืองจะชุลมุนวุ่นวายอย่างไร อาชญากรรมจะรุนแรงแค่ไหน แต่สำหรับชีวิตคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง จะต้องพร้อมรบเสมอ เมื่อฝนพรำชุ่มฉ่ำทุกทิศทั่วไทย คาดตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำ ระหว่างเดินทางกลับบ้าน หลายคนยังต้องเจอพิษน้ำท่วมและรอระบายยาว ๆ ไปอีกวันหนึ่ง
เขี้ยวเล็บกองทัพ ตรงเป้า-แม่นยำ ผลยิงทดสอบ ระบบจรวด DTI-1G นำวิถีเข้าสู่เป้าหมายทุกนัด ลงพื้นกระทบทุกนัด เป้าหมายที่ระยะ 150 กิโลเมตร หลังโครงการวิจัยและพัฒนาจรวดหลายลำกล้องนำวิถีพื้นสู่พื้น แบบ DTI-1G ความร่วมมือระหว่าง กองทัพบก (ทบ.) และ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว
โครงการนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบัน เป้าหมาย คือ พัฒนาระบบจรวดหลายลำกล้องนำวิถีพื้นสู่พื้นแบบ DTI-1G เพื่อนำเข้ารับรองมาตรฐานยุทโธปกรณ์ และส่งประจำการในกองทัพบก เพื่อเป็นศักย์สงครามที่สำคัญ ในด้าน Fire Power ของกองทัพไทย เน้นการพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด และ พึ่งพาต่างประเทศเท่าที่จำเป็น โครงการฯ DTI-1G มี 2 เฟส โดยแรกเป็นการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศจีน
ส่วนเฟส 2 เป็นการนำความรู้ในเฟส 1 มาเป็นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ ให้ออกแบบและพัฒนา รถฐานยิงจรวด รถบรรทุกลูกจรวด รถควบคุมบังคับบัญชา และ ระบบส่งกำลังและซ่อมบำรุง โดย สทป. ร่วมกับเอกชนภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเน้นการพึ่งพาพันธมิตรหน่วยเจ้าของเทคโนโลยีต่างประเทศเท่าที่จำเป็น โดยการทดสอบจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-27 เม.ย. ที่ผ่านมา
หลังจากที่ ทีมวิศวกรจาก 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย สทป. และเอกชนไทย 3 บริษัท ได้ร่วมพัฒนารถฐานยิงจรวดในประเทศไทย จนสำเร็จ และส่งไปติดตั้งระบบควบคุมการยิง (Fire Control System : FCS) ที่โรงงานของพันธมิตรหน่วยเจ้าของเทคโนโลยีต่างประเทศ ก็จนถึงขั้นตอนการทดสอบในขั้นการรับรองคุณภาพของผู้ผลิต (Qualification Test) เพื่อพิสูจน์ยืนยันระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ก่อนทำการยิงทดสอบขั้นการตรวจรับ (Acceptance Test) ร่วมกับหน่วยผู้ใช้ ทบ. โดยในแผนการยิงทดสอบ ขั้นการตรวจรับ หลังจากนี้จะมีการ ขับเคลื่อนโครงการในขั้นตอนต่อไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ขณะที่สถานการณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ก็ยังระอุ หลัง “นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน จรดปากกาเซ็นแต่งตั้ง “ดร.วิษณุ เครืองาม” เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แม้แต่พรรคส้ม “ก้าวไกล” ที่เงียบกริบมาตลอดสุดสัปดาห์นี้ ก็ดาหน้าออกมาทักท้วงรัว ๆ ประเดิมคนแรก “จุลพงศ์ อยู่เกษ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล บอกว่า ในฐานะนิสิตเก่าคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 98 คะแนนจาก 100 คะแนน ในวิชากฎหมายของ ดร.วิษณุ อยากขอร้องให้อาจารย์ปล่อยวางทางการเมือง
“ในโลกนี้ ทุกเรื่องไม่มีใคร ที่ขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้ ต้องมีคนรุ่นใหม่แทน…” อาจารย์ชอบยกคำบาลีในพระพุทธศาสนามาให้ข้อคิดแก่ผู้อื่น ผมจึงขอยกเรื่องที่ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยตอบคำถามว่าอะไรคือสิ่งที่เมื่อคนย้อนนึกถึงอดีตแล้ว จะทำให้คนเสียใจมากที่สุด พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า สิ่งที่ทำให้คนเสียใจมากที่สุดคือการที่คนคิดว่าตนเองนั้นมีเวลา ซึ่งเวลาของอาจารย์วิษณุยังไม่หมด … แม้ท่านจะลงเรือแป๊ะมาแล้ว ผมไม่ได้ห่วงว่าท่าน จะล่มไปพร้อมกับเรือนิด แต่ผมเป็นห่วงสุขภาพของท่าน จึงขอให้ใช้เวลาในปัจจุบัน ไปรักษาสุขภาพให้แข็งแรงจะดีกว่า “เป็นความห่วงของศิษย์” จุลพงศ์
ไม่เว้นแม้แต่ “โรม” รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งข้อสังเกต ไม่ว่าใครก็ต้องยืมมือ ดร.วิษณุ มาทำงาน ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาลลุงตู่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หรือ “รัฐบาลเศรษฐา” แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลขาดเอกภาพ ไม่มีความพร้อมในการบริหารงาน
อ่านข่าว : “รังสิมันต์” แนะจับตา “เศรษฐา” ตั้ง “วิษณุ” เป็นที่ปรึกษา หวังรอดคดีศาล รธน.
“นายเศรษฐา วิพากษ์วิจารณ์นายวิษณุ ในหลายโอกาส แต่ถึงเวลาทำเหมือนว่า เรื่องเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้น ไปบอกว่าเป็นเรื่องของความ ไม่ใช่เรื่องของคน … เป็นวิธีการที่จะหลบเลี่ยง สุดท้ายอาจจะไม่ใช่ ให้มาดูแค่เรื่องกฎหมายในคณะรัฐมนตรี แต่นายเศรษฐาจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ กำลังถูกแขวนอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ”
โรม บอกว่า สิ่งที่มองคือนายเศรษฐาไม่ไว้วางใจฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยอีกแล้ว จึงทำให้ไม่รู้จะไปหาทางออกอย่างไร จึงต้องไปยืมเนติบริกร ที่มีผลงานในหลายรัฐบาล คือนายวิษณุ พูดง่าย ๆ ก็คือการันตีของแทร่
อ่านข่าว : 222 วันเส้นทางหนีคดี “แป้ง นาโหนด” ซุกอินโดนีเซีย
คนเบื้องหลัง “บิ๊กวี” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เจ้ากระทรวงตาชั่ง ออกมาเปิดเผยเบื้องหลังการจับ “แป้ง นาโหนด” นักโทษอุกฉกรรจ์ หลังศาลจังหวัดพัทลุงสั่งจำคุก 20 ปี 6 เดือน คดีปล้นผู้ต้องหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 ขณะจับกุมคดียาเสพติด และแหกหักหลบหนีออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ระหว่างเข้ารับการรักษาตัว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2566 หนีนานกว่า 6 เดือน จนถูกตำรวจอินโดนีเซียจับกุมที่เกาะบาหลี
มุมหนึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี แต่จับกุมผู้ต้องหารายนี้ได้ แต่อีกมุมหนึ่งสะท้อนให้เห็นความบกพร่องในการทำงานของกรมราชทัณฑ์ ในชุดสืบสวนจับกุม นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ยังมีผู้อยู่เบื้องหลัง คือ “บิ๊กแป๊ะ” พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่ปรึกษานายกฯ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมได้ประสาน “ยูซุฟ คัลลา” อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งเคยทำงานในคณะร่วมเจรจากระบวนการสันติภาพอาเจะห์ เมื่อหลายปีมาแล้ว
อ่านข่าว : ส่ง “พล.ต.ท.ประจวบ” รับ “แป้ง นาโหนด” โดน 3 ข้อหาหนัก
โดย “บิ๊กวี”พ.ต.อ.ทวี มอบหมายให้ “บิ๊กแป๊ะ” พล.อ.นิพัทธ์ พร้อม “รองแพร” พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอ เดินทางไปคุยกับทางการอินโดนีเซีย ส่วนการนำตัวผู้ต้องหาหลบหนีคดีกลับประเทศนั้น เจ้ากระทรวงตาชั่งบอกว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรติดขัด และเบื้องต้นทางประเทศอินโดนีเซียแจ้งว่าจะสามารถให้รับตัว “แป้ง หนาโหนด” กลับมาได้ภายในวันอาทิตย์นี้
สุดสัปดาห์นี้ เป็นวันหยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ขอให้เป็นศุกร์หรรษาของทุกคน เดินทางปลอดภัย ที่สำคัญ ไม่เจอรถติด-ฝนตกและน้ำท่วม
อ่านข่าว : ตร.คาด “แป้ง” นั่งเรือไปอินโดฯ ชี้ระยะทางไม่ไกล ช่วงหลบหนีไม่มีมรสุม