มหากาพย์คดีดิไอคอน กรุ๊ป ไม่เพียงสร้างความสั่นสะเทือนต่อวงการธุรกิจขายตรง มีผู้เสียหายทะลุหมื่นราย มูลกว่า 3 พันล้านแล้ว แต่คดียังรันเกือบทุกวงการ บาดแผลขยายวงกว้างลุกลามตั้งแต่ ชาวบ้าน นักแสดง คนวงการบันเทิง ข้าราชการ ยันนักการเมือง กว่าจะสิ้นสุดคดีนี้ การต่อสู้ของแต่ละฝ่ายคงอีกยาวไกล โดยเฉพาะ 18 ผู้ต้องหาล็อตแรก หลังดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ เข้าข่ายแซร์ลูกโซ่ , ฉ้อโกงประชาชน, นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ
แม้ “จ็อบ” สามารถ เจนชัยจิตรวนิช จะถูกดีดพ้นออกจากพรรคพลังประชารัฐไปแล้วก็ตาม ล่าสุดเกิดศึกปะทะกันระหว่างพรรค พปชร.และกลุ่มสามมิตร เมื่อ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ออกมาเปิดเผยอักษรย่อชื่อบุคคล ผู้เกี่ยวข้อง หรือ 6 เทวดา ประกอบด้วย ก. ธ. ส. ต. อ. และ จ่าคนหนึ่ง อีกทั้งยังระบุว่า บุคคลทั้ง 6 คนนี้มีความใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับนักการเมืองที่ร่วมรัฐบาล เป็นนักการเมืองอยู่ในพรรคเพื่อไทยเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะ ส. อ. ด.
เดาง่ายๆ ว่า เทวดาอยู่ข้างหลังเป็นใคร ที่สำคัญคือ จากประวัติของนายสามารถเมื่อปี 57 เป็น ผอ.ศูนย์อำนวยการร้องทุกข์ของกลุ่มสามมิตร และปี 62 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม เสียงในคลิปต่างๆ จะเห็นว่า สามารถแต่งตั้งดีเอสไอได้ในขณะนั้น ซึ่งนายสามารถเป็นผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม ย่อมสามารถหาได้ง่ายๆ ว่า ใครเป็น รมว.ยุติธรรม
“ฝากถึงประธานสภาฯ อยากให้สอบถึงนักการเมืองหรือบุคคลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับดิไอคอน ผู้ที่เป็นตัวแปรสำคัญคือ ผู้สอบบัญชีดิไอคอน ซึ่งรอดจากการตรวจสอบบัญชีของสรรพากรมาได้อย่างไรตั้ง 6-7 ปี ใครเป็นผู้สอบบัญชี แล้วมีความสนิทสนมกับใครในรัฐบาลนี้ ประธานสภาฯ จะกล้าดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ คงจะต้องช่วยกันติดตามกันอีกที” โฆษกพรรค พปชร. ทิ้งเผือกร้อน
ด้าน “สมศักดิ์ เทพสุทิน” แกนนำกลุ่มสามมิตร รมว.สาธารณสุข โต้ทันควันประเด็นเทวดา ว่าความเกี่ยวข้องเป็น 0% … ถ้าลำดับขั้นตอนดูดีๆ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นดูข้อมูล นับวันเวลา และเรื่องที่เข้ากรรมาธิการ เป็นปี 2565 เป็นช่วงที่เขา (สามารถ) ออกจากกระทรวงยุติธรรมและพรรคการเมืองแล้ว
“พยายามเบี่ยงเบนประเด็นให้ใส่ตรงนู้น ตรงนี้..ผลงานของนายสามารถในอดีต คือ ให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ ในลักษณะการฉ้อโกง เขาไปหลายจังหวัด จึงมีเสียงชื่อในเรื่องช่วยเหลือประชาชนที่ถูกหลอกในกรณีการเล่นแชร์กัน เป็นนโยบายของกระทรวงยุติธรรม ในขณะนั้นที่ปราบอย่างไรก็ไม่หมด” สมศักดิ์ ระบุ
แต่กรณีนี้ไม่ทราบ เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในคลิปที่ออกมา พฤติกรรมหลังๆ เป็นสิ่งที่ไม่เคยทราบมาก่อน
ขณะที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร.กลับจากเป็นเจ้าภาพงานกฐินวัดเกาะแก้ว-วัดโพธิ์เผือก จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้เปิดหน้าชกต่อ ให้ “ชัยมงคล ไชยรบ” สส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แสดงจุดยืนค้านการเจรจาผลประโยชน์ปิโตรเลียมในกรอบบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ ทวีป (MOU 44) เนื่องจากหวั่นทำให้ไทยเสียเปรียบเรื่องแหล่งพลังงาน ดินแดน อธิปไตย และข้อตกลงในเรื่องเขตแดนทางทะเล โดยเรียกร้องรัฐบาลให้ดำเนินการยกเลิก MOU 44 อย่างเร่งด่วน สำหรับข้อความในเอกสาร MOU 44 ประกอบแผนที่แนบ แสดงว่าสองประเทศได้ยอมรับ
“มีพื้นที่พัฒนาร่วมเพื่อให้ทำการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ปิโตรเลียม แต่ขอบพื้นที่ดังกล่าวด้านทิศตะวันตก ใช้เส้นเขตแดนในทะเลที่ประกาศโดยกัมพูชาในปี 2515 โดยมีจุดตั้งต้นในเส้นที่พาดผ่านเกาะกูด และทั้งนี้ ได้ตรวจสอบหลักฐานแล้ว พบว่าอาจขัดกับสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ย่อมทำให้เอกสาร MOU 44 ทั้งฉบับอาจผิดกฎหมาย” สส.พลังประชารัฐระบุ
กรรมใคร กรรมมัน “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. คนเคยคุ้นกับทนายคนดัง “ตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความเพื่อประชาชน ซึ่งกำลังถูกโจทก์เก่ารุกไล่ ไม่ว่าจะเป็น “หนึ่ง บางปู” และ น.ส.จตุพร หรือ อ้อย อุบลเลิศ ชาวไทยที่ทำธุรกิจที่ประเทศฝรั่งเศส ฟ้องร้องขอคืนเงิน 71 ล้าน บาท และมีการพาดพิงนำไปให้ผู้ใหญ่ และนักการเมือง ในการทำแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ เป็นเหตุให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ต้องออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ได้ร่วมวง ที่สำคัญ ไม่เคยรู้จักเจ๊อ้อย
“พี่ไม่เคยไปรับอะไรกับเขาทั้งสิ้น กรรมใครก็กรรมมัน พี่ไม่เคยไปเกี่ยวข้องส่วนเขาจะไปหลอกใครเอาสตางค์ไปให้ใครฟังแล้วมันทุเรศ ก็ให้ไปสอบเจ้าตัว ไปสอบทนายตั้มว่าเอามาให้พี่จริงหรือเปล่า พี่ไม่เคยรับเงินสกปรกแบบนี้ คราวนี้กรรมใคร ก็ กรรมมัน”
แม้จะยอมรับก็รู้จักกันจริงแต่ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยืนยันว่า ไม่ได้สนิทสนมมาก ที่ผ่านมาถูกนำชื่อไปแอบอ้างบ่อยครั้ง ส่วนประเด็นที่ภรรยา โดนแจ้งจับคดีลักทรัพย์กับบุกรุกนั้น ขอไม่พูด ก็ต้องว่าไปตามส่วนภรรยา ต้องไปถามภรรยาเอง
ไม่ปล่อยไว้แน่ หลังเกิดเรื่องฉาวในวงการทนาย “วิเชียร ชุบไธสง” นายกสภาทนายความ ได้ออกมารับลูกโดยพลันด้วยการประสานความร่วมมือกับประธานกรรมการมรรยาท สภาทนายความ เพื่อตรวจสอบเอาผิดทนายความที่ประพฤติผิดมรรยาท และเร่งรัดการพิจารณาคดีมรรยาทที่ทนายโซเชียล ได้ละเมิดต่อข้อบังคับของสภาทนายความ
ว่าด้วยมรรยาททนายความ จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงขององค์กร และสมาชิกทนาย ความส่วนใหญ่ และหากมีการพิจารณาเรื่องถึงที่สุดแล้ว โทษของการกระทำดังกล่าว มี 3 ข้อ คือ ภาคทัณฑ์,ห้ามการเป็นทนายความไม่เกิน 3 ปี, ลบชื่อจากทะเบียนทนายความ
“หากทนายความคนใดได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอก ฉ้อโกง หรือตระบัดสินลูกความ หรือประกอบอาชีพ ดำเนิน หรือประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี หรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ ถือว่าเป็นเหตุที่จะทำการลบชื่อจากทะเบียนทนายความได้”
มีข้อมูลว่า จากการตรวจสอบข้อมูลคดีมรรยาทของทนายความโซเชียลคนดังหลายคนว่า ล้วนมีคดีมรรยาทติดตัวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาท ซึ่งทนายความคนดังบางคนถูกร้องเป็นคดีมรรยาทมากกว่า 20 คดีแล้ว และทนายความคนดังหลายคนถูกพักใบอนุญาตให้เป็นทนายความ และบางคนถูกลบชื่อจากทะเบียนทนายความไปแล้ว
อ่านข่าว :
“เลิศศักดิ์” โต้ พปชร. ปูดอักษรย่อคนเพื่อไทยเอี่ยว “ดิไอคอน”
สภาทนายความเล็งฟัน ทนายหิวเเสง ชี้ประพฤติผิดมรรยาทอาจถูกพักใบอนุญาต