วันนี้ (29 ม.ค.2566) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึง กระแสความนิยมทางการเมืองและการวัดพลังทางการเมือง ของเวทีปราศรัยของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เปิดพร้อมกันกับพรรคเพื่อไทย ในวันที่ 28 ม.ค.ว่า ขอบคุณทุกพรรคการเมืองที่เห็นว่า การเปิดเวทีปราศรัย ประกาศนโยบายกับประชาชนเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญ ในระบบประชาธิปไตย ที่จะเป็นการสู้กันของพรรคการเมือง ให้ประชาชนตัดสินใจ ส่วนการเปิดเวทีพร้อมกัน เป็นเรื่องธรรมดา การเมืองเป็นเรื่องของการแข่งขัน
สินค้าทางการเมืองที่ดีที่สุดคือนโยบาย ส่วนตัวบุคคลเป็นเรื่องรองลงมา แต่เรื่องนโยบายเป็นภาพใหญ่ ซึ่งถ้าทุกคนเห็นว่าประชาชนจะตัดสินการเมืองด้วยนโยบาย ถือว่าจะเป็นแสงสว่างของประชาธิปไตย แม้ว่าบางพรรคจะทำเป็นแค่พิธีกรรม ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งประเทศได้เห็น
ท้า “พล.อ.ประยุทธ์” ดีเบตให้ประชาชนตัดสิน
นพ.ชลน่านกล่าวว่า คาดหวังเห็นว่า เป็นการสมควรที่จะได้พบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในเวทีดีเบตของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง ซึ่งประชาชนคาดหวังว่าจะได้ฟังการดีเบต จึงขอเรียนเชิญพล.อ.ประยุทธ์ร่วมเวทีดีเบต เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนตัดสินใจว่า เป็นสิ่งที่ประชาชนเลือกตัดสินใจเลือก นายกรัฐมนตรีของเขา
คลายกังวลหลังประกาศใช้กฎหมายเลือกตั้ง
หัวหน้าพรรคเพื่อไทยยังกล่าวถึงกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งทั้ง 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้ว่า สะท้อนว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น อยู่บนพื้นฐานที่มีกฎหมายรองรับชัดเจน โดยไม่มีข้อกังวล ซึ่งมีการประกาศชัดมาเช่นนี้ก็จะทำให้พรรคการเมือง เข้าสู่กระบวนการเตรียมตัวจะเตรียมการตามกฎหมายบัญญัติ เช่นการตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด
ตอนนี้มีการคลายล็อกออกมาแล้วว่า 1 จังหวัด สามารถตั้งสาขาพรรคการเมือง 1 แห่งก็ได้ สามารถส่งผู้แทนได้ทุกเขต เพราะก่อนหน้านี้จะต้องตั้งสาขาพรรคการเมืองทุกเขตเลือกตั้ง ซึ่งมีทั้งหมด 400 เขต ทำให้หลายพรรคการเมืองไม่พร้อม เพราะบางพรรคการเมืองตั้งได้เพียง 10 สาขาเท่านั้น แต่หลังแก้ไขกฎหมายใหม่ หากมีการตั้ง 77 สาขา 77 จังหวัด ก็สามารถส่งผู้สมัครเลือกตั้งได้ทุกเขตตามเวลาที่กฎหมายกำหนด
“พปชร.ดีล อุตตม-สนธิรัตน์” เหล้าเก่าในขวดใหม่
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ดีลกลับมาร่วมงานกับ นายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ว่า ตนมองว่าเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่หรือเหล้าใหม่ในขวดเก่า แล้วแต่จะเปรียบเทียบ เป็นภาพที่เขาทำงานร่วมกันและแยกกันออกมา แต่จะแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะนำเสนอต่อประชาชน
ความแข็งแกร่งของพรรคการเมือง คือ นโยบายที่ตอบโจทย์และเป็นนโยบายที่ประชาชนเชื่อมั่นว่าเป็นประโยชน์และทำได้จริง, ตัวผู้สมัครที่รับเลือกตั้งแต่ละเขต, แคนดิเดตนายกฯ, ระบบการสื่อสารทางการเมือง
สิ่งที่ยังเป็นปัญหาคือ การใช้วิธีการนอกเหนือจากกฎหมาย ที่ส่งผลต่อการเลือกตั้ง เช่น การโน้มน้าว ชักจูงโดยวิธีการที่ผิด หรือการใช้เงิน มันวัดตรงที่จำนวน ส.ส. แต่ไม่ได้หมายความว่าทำให้การเมืองแข็งแกร่ง และได้ ส.ส.เยอะไม่ได้หมายความว่า การเมืองแข็งแกร่ง นี่เป็นกิริยาผกผันกัน ยิ่งคุณใช้เงินเยอะคุณยิ่งทำลายระบบการเมือง
อ่านข่าวอื่นๆ
ตร.เตรียมขอออกหมายจับเพิ่ม ปม DSI บุกห้องพักกงสุลใหญ่นาอูรู
พาณิชย์เบรกขึ้นราคา “นมผงเด็ก-ปลากระป๋อง”
ตั้ง กก.สอบวินัยร้ายแรง-เอาผิดอาญา “4 ตำรวจ” ขับนำขบวนนักท่องเที่ยวจีน