โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขึ้นปราศรัยบนเวทีการประชุมปฏิบัติการทางการเมืองอนุรักษ์นิยม (CPAC) ซึ่งเป็นการชุมนุมระดมทุนประจำปีครั้งใหญ่ที่สุดของพรรคอนุรักษ์นิยมระดับรากหญ้าในสหรัฐฯ แม้คะแนนนิยมของเขาจะตกต่ำลง สืบเนื่องจากเหตุการณ์การจลาจลรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564 และผลการเลือกตั้งกลางเทอมที่น่าผิดหวังของพรรครีพับลิกัน
ทรัมป์เปิดตัวสโลแกนหาเสียงของเขา เพื่อการปูทางไปสู่การเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน ในการลงรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2567 ที่กำลังจะมาถึง โดยอดีตประธานาธิบดีชูกรอบการลงหาเสียงของเขาภายใต้สโลแกน “ศึกสุดท้าย” เพื่ออเมริกา ท่ามกลางเสียงของมวลชนร้องเชียร์ว่า “ทรัมป์! ทรัมป์! ทรัมป์!” และ “USA! USA! USA!”
อย่างไรก็ดี ทรัมป์เคยเผชิญหน้ากับการพิจารณาถอดถอนเขา ออกจากตำแหน่งถึง 2 ครั้งขณะการเป็นประธานาธิบดี และปัจจุบันเขายังคงเจอกับการสืบสวนสอบสวนข้อหาทางอาชญากรรม ฐานการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อจลาจลหน้ารัฐสภา ทั้งนี้ เขาแพ้การเลือกตั้งเพื่อการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศต่อในสมัยที่ 2 ให้กับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบั เมื่อปี 2563 ที่ผ่าน โดยทรัมป์กล่าวหาว่า การเลือกตั้งในครั้งนั้นมีการโกงเกิดขึ้น แม้คำกล่าวอ้างของเขาจะไม่มีหลักฐานก็ตาม
“ในปี 2559 ผมประกาศว่า ผมเป็นเสียงของคุณ” ทรัมป์กล่าวบนเวทีด้วยการใช้เวลาปราศรัยนานกว่า 100 นาทีเพื่อปิดงานประชุม CPAC ในรัฐแมรี่แลนด์ “วันนี้ผมขอพูดเพิ่มอีก ผมเป็นนักรบของคุณ ผมคือความยุติธรรมของคุณ และสำหรับผู้ที่ประสบความอธรรมและการทรยศ ผมคือการลงทัณฑ์ของคุณ” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าว
การเปิดตัวเพื่อท้าชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทรัมป์กลับล้มเหลวในการขัดขวางคู่แข่งจากพรรคเดียวกันของเขา เช่น นิกกี้ เฮลีย์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ ซึ่งประกาศการท้าชิงตัวแทนพรรคในการท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เช่นเดียวกันกับ รอน เดอซานติส ผู้ว่าการมลรัฐฟลอริดา ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดต่อทรัมป์
“เราจะทำสิ่งที่ได้เริ่มมาให้แล้วเสร็จ เราเริ่มต้นบางสิ่งที่มหัศจรรย์ เราจะทำภารกิจให้สำเร็จ เราจะได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้ผ่านไปสู่ชัยชนะสูงสุด เรากำลังจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ทรัมป์กล่าวบนเวที CPAC “เมื่อมีคุณอยู่เคียงข้างผม เราจะทำลายพวกรัฐซ้อนรัฐ เราจะขับไล่พวกคลั่งสงคราม… เราจะขับไล่พวกโลกาภิวัตน์ เราจะขับไล่คอมมิวนิสต์ เราจะสลัดชนชั้นทางการเมืองที่เกลียดชังประเทศของเรา… เราจะเอาชนะพรรคเดโมแครต เราจะกำจัดสื่อข่าวปลอม เราจะเปิดเผยและจัดการกับไรนอส (พวกแสดงตัวว่าเป็นรีพับลิกันในนามเท่านั้น) อย่างเหมาะสม เราจะขับไล่ โจ ไบเดน ออกจากทำเนียบขาว และเราจะปลดปล่อยอเมริกาจากวายร้ายและตัวโกงเหล่านี้ให้เป็นอิสระ”
ในการกล่าวคำปราศัรยที่หลบไปหลบมา ทรัมป์หลีกเลี่ยงการกล่าวถึงชื่อของเดอซานติส คู่แข่งคนสำคัญจากพรรครีพับลิกันของเขาเอง แต่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับจุดไฟใส่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า “นี่คือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศของเรา และ โจ ไบเดน กำลังนำเราไปสู่เมืองลับแล” ทรัมป์กล่าว
ทรัมป์ยืนยันว่า วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียตัดสินใจบุกยูเครน เนื่องจากการถอนตัวที่ไม่เรียบร้อยของกองทัพสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถานในเดือน ส.ค. 2564 “และคุณกำลังจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เรากำลังจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมเป็นผู้สมัครคนเดียวที่สามารถทำสัญญานี้ได้ ผมจะป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3” พร้อมกันนี้ ทรัมป์ยังอ้างต่ออีกว่า “ก่อนที่ผมจะไปถึงห้องทำงานรูปไข่ (ห้องทำงานอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ผมจะต้องยุติสงครามหายนะระหว่างรัสเซียและยูเครนเสียที… ผมรู้ว่าจะต้องพูดอะไร”
ทรัมป์ยังประกาศนโยบายเอาใจฐานเสียงอนุรักษ์นิยมสหรัฐฯ เพิ่มเติม โดยเขาประกาศว่าเขาจะสร้างกำแพงชายแดนเพิ่มเติม และสั่งให้มีการลาดตระเวนชายแดนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เพื่อหยุดการไหลเวียนของยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งการเปิดให้มีการลงคะแนนเสียงด้วยบัตรกระดาษ 1 วัน การปราบปรามสิทธิคนข้ามเพศ และการทำศัลยกรรมเพื่อยืนยันเพศสภาพ ทรัมป์ยังกล่าวอ้างด้วยความเท็จอีกครั้งว่า เขาชนะการเลือกตั้งในปี 2563 อย่าง “มโหฬาร” ทั้งที่ความจริงแล้วไบเดนสามารถเอาชนะเขาไปด้วยคะแนนเสียงกว่า 7 ล้านเสียง
“เราไม่มีทางเลือก” ทรัมป์กล่าวพร้อมเตือนว่า “นี่คือการต่อสู้ครั้งสุดท้าย” ก่อนที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะสรุปการปราศรัยของตัวเองว่า “ถ้าเราไม่ทำเช่นนี้ ประเทศของเราจะสูญหายไปตลอดกาล”
ที่มา: