ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทวีตข้อความลงบนทวิตเตอร์ส่วนตัวในวันนี้ (13 ก.ค.) ประกาศถึงความพ่ายแพ้ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป หลังจากไม่สามารถรับคะแนนเสียงโหวตจากสมาชิกรัฐสภาได้เพียงพอ
“ผมขอประกาศในวันนี้ว่า ความล้มเหลวของพิธาในการได้คะแนนโหวตมากพอ ต่อการเป็นนายกรัฐมนตรีไทย เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของฝ่ายค้านอันโหดร้าย” ฮุนเซนระบุ
“นี่ไม่ได้หมายความว่า ผมกำลังแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย” ฮุนเซนกล่าวถึงคำพูดของตัวเอง ต่อความพ่ายแพ้ของพิธา “ประเด็นของผมตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา คือ พวกกบฏเหล่านี้คาดหวังมาตลอดว่า เมื่อพิธากลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พวกมันจะใช้แผ่นดินไทยในการรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลในพระเจ้าอยู่หัวแห่งกัมพูชา”
“ตอนนี้ความคาดหวังของกลุ่มฝ่ายค้านอันโหดร้ายได้มลายหายไปดั่งเกลือในน้ำ” ฮุนเซนกล่าวเสริม
“อย่าทำการเมืองที่หวังพึ่งพาใครคนอื่น” ฮุนเซนระบุ “นี่คือข้อความของผมที่ส่งไปถึง และความหวังดีแก่กลุ่มหัวรุนแรง”
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือน มิ.ย. สำนักข่าวของกัมพูชารายงานว่า ฮุนเซนได้กล่าวต่อแรงงานในประเทศว่า กัมพูชาไม่ยอมรับนโยบายด้านแรงงานใหม่ของไทยจากพรรคก้าวไกล ที่มีพิธาเป็นผู้ถูกเสนอชื่อในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
ในการกล่าวโจมตีพรรคก้าวไกลครั้งนั้น ฮุนเซนได้พูดในทำนองเดียวกันว่า ตัวเองไม่มีเจตนาแทรกแซงกิจการการภายในของไทย แต่ตัวเองหวังว่าพิธาจะมองปัญหาดังกล่าวไปได้ไกลกว่าประเทศไทย โดยฮุนเซนย้ำว่า นโยบายดังกล่าวของพรรคก้าวไกลจะไม่เป็นที่ยอมรับของประเทศเพื่อนบ้าน
พร้อมกันนี้ฮุนเซนยังกล่าวหาว่า นโยบายแรงงานของไทยโดยพรรคก้าวไกล ยังเป็น “อันตราย” ต่อแรงงานของกัมพูชาและลาว ตลอดจนผู้ประกอบการชาวกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เคยได้รับการรับรองภายใต้รัฐบาลของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อย่างไรก็ดี ทางพรรคก้าวไกลและพิธาได้ออกมาแถลงถึงกรณีเมื่อเดือน มิ.ย. จากคำพูดของฮุนเซนว่า ทางพรรคก้าวไกลต้องขอตรวจสอบจข้อเท็จจริง ก่อนที่เรื่องราวดังกล่าวจะเงียบหายไป จนกลับมามีการทวีตข้อความของฮุนเซนอีกครั้งในวันนี้
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ฮุนเซนมักได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ จากการใช้ข่าวปลอมและการโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหวังสร้างปฏิบัติการทางข่าวสาร (IO) และปลุกกระแสชาตินิยมกัมพูชา ซึ่งจะเป็นชนวนในการสร้างความนิยมและความมั่นคงให้แก่รัฐบาลเผด็จการของตัวเอง ฮุนเซนยังใช้วิธิการดังกล่าว เพื่อการโจมตีฝ่ายค้านของกัมพูชา ซึ่งถูกรัฐบาลกัมพูชาประกาศยุบพรรค และไล่ล่าปราบปรามผู้เห็นต่างจำนวนมาก
