“ผมรู้สึกได้ว่าการมีเพื่อนไปอยู่เคียงข้างเขา (เศรษฐา ทวีสิน) ก็มีกำลังใจขึ้นมา ผมคิดว่าอย่างนั้น เราพยายามที่่่จะให้กำลังใจสนับสนุนเต็มที่ให้มากที่สุด
คำยืนยันของ ‘ปุ๊ก-ศุภนิจ จัยวัฒน์’ ประธานกรรมการบริษัท อาโนส์ กรุ๊ป 2020 จำกัด ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และอดีตประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ บมจ.แสนสิริ ซึ่งเป็นเพื่อนที่เติบโตกันมาตั้งแต่วัยเด็ก จนกระทั่งเป็นนักธุรกิจ และยังเป็นเพื่อนที่ ‘เศรษฐา’ ให้ความรักที่สุดคนหนึ่ง
ปัจจุบัน ‘ศุภนิจ’ ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมสไตล์บูติก คือ โรงแรมสีลม ศิรีนทร์ โรงแรมโพธิ ศิรีนทร์ จ.เชียงใหม่ และโรงแรมบ้านบาหยัน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อีกทั้งยังเปิดร้านอาหารทำกับหุ้นส่วน ชื่อร้านสเต็ก Arno’s ซึ่งมีอยู่ 15 สาขา และเปิดบริษัทรับเหมารื้อตึก
“ผมทำโรงแรมโดยมีที่สีลม ศิรีนทร์ ที่เชียงใหม่ ที่โพธิ ศิรีนทร์ แล้วก็ที่หัวหิน บ้านบาหยัน ในส่วนธุรกิจครอบครัวจะทำโรงแรมแนวบูติค มี 5 แห่ง โดยส่วนตัวจะทำร้านอาหารทำกับหุ้นส่วน ชื่อร้าน Arno’s มีอยู่ 15 สาขา อยู่หลายที่แห่งแรกอยู่ นราธิวาส ซอย 20 แล้วก็ทำธุรกิจนำเข้าแชมพู Watermans แล้วก็มีทำบริษัทรับเหมา แต่เรารับเหมารื้อตึก” ศุภนิจ บอกผ่าน ‘วอยซ์’
จุดเริ่มต้นในการริเริ่มทำธุรกิจ ร้านอาหาร สเต๊ก Arno’s ต้องย้อนไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วได้ เพราะ ‘ศุภนิจ’ ได้พบกับคุณ Arnaud ก็เลยมาเปิดร้านสเต๊กเล็กๆ แล้วขยายสาขาอย่างรวดเร็แบบไม่น่าเชื่อ
“เราเปิดแห่งแรกได้รับความนิยม อย่างสูง อย่างเร็ว และไม่มีคาดหมายเลยขยายทำเบอร์เกอร์ฮอทดอก ก๋วยเตี๋ยว พิซซ่า ตอนนี้ขยายมา 15 สาขา ก็ไปได้ดี จนกระทั่งเกิดโควิด-19 ก็เกือบหงายท้องเหมือนกัน ก็สะดุดไปอยู่ 2-3 ปี ช่วงนั้น ลำบาก ก็เกือบแย่ไปเหมือนกัน ก็ประคับประคองกันมา พอหมดโควิด-19 เราค่อยๆ ใช้หนี้ใช้สินให้กับสถาบัน ให้กับเจ้าหนี้”
มิตรแท้ของนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 บอกถึงจุดเริ่มต้นที่มีความสนิทกับ ‘เศรษฐา’ ด้วยว่า
“ทางด้านครอบครัวคุณเศรษฐา เป็นญาติกับของผม เป็นครอบครัวเกือบเป็นญาติสนิทกัน เราก็เกิดมาในยุคเดียวกัน คุณเศรษฐากับผมไม่ใช่ปีเดียวกัน แต่คุณเศรษฐาเกิดต้นปี 2505 ผมเกิดปลายปี 2503 ถ้าเรียนจะห่างกัน 1 ปี เราแล้วก็จะมีญาติคือคุณอภิชาติ จูตระกูล (ประธานกรรมการและรักษาการประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ) เขาก็จะเกิดต้นปี 2503 ก็จะสนิทกัน 3-4 คน เด็กผู้ชายตอนนั้นความสนใจก็จะคล้ายๆกัน เตะฟุตบอล เล่นบาส ตีเทนนิส ว่ายน้ำ มีเด็กๆรุ่นๆที่เล่นด้วยกัน”
1 มี.ค. 2566 คือวันแรกที่ ‘เศรษฐา’ เปิดตัวลงสนามการเมืองเต็มตัวเป็นครั้งแรกก่อนเข้าโหมดหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป โดย ‘เศรษฐา’ รับบทบาทประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
ภายหลังการยุบสภาฯ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2566 ‘เศรษฐา’ เมื่อเข้าสู่ฤดูแห่งการหาเสียงเลือกตั้งด้วยภารกิจต้องทำพรรคเพื่อไทย หาเสียงทั่วประเทศ โดยหวังว่า ‘เพื่อไทย’ จะได้ สส.แบบแลนด์สไลด์
‘เศรษฐา’ ถูกวางตัวให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยร่วมกับ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
‘ศุภนิจ’ ไม่คาดคิดว่า ‘เพื่อนเศรษฐา’ หรือ ‘คุณนิด’ จะเดินเส้นทางของชีวิตขึ้นสู่จุดสูงสุดในตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหาร หลังที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2566 ได้มีมติเห็นชอบท่วมท้น 482 เสียง ได้รับเสียงเห็นชอบจาก สส.และ สว.จนขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
“เดินๆ อยู่ด้วยกัน คุณนิดก็มาถาม เฮ้ย ผมจะไปเล่นการเมืองดีไหม ผมก็บอก หูย…จะไปเล่นได้ไงนิสัยคุณ มันไม่ใช่ นิสัยคุณไม่ใช่นักการเมือง ตรงไปตรงมา แล้วมันดูแล้วไม่ใช่ เขาคือนักธุรกิจที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยเห็นมา แต่ว่าบอกว่าเป็นนักการเมืองนี่ ผมว่าใช่เหรอ แล้วคุณจะไปเล่น ทำไมเศรษฐกิจคุณ ธุรกิจคุณก็ไปได้ดีอยู่แล้ว มีความสุข เห็นนักการเมืองมีแต่โดนด่า โดนด่าอยู่ดีหาเรื่องโดนเขาด่าทำไมวะ”
‘ปุ๊ก ศุภนิจ’ ย้ำว่า ธุรกิจของ ‘เศรษฐา’สร้างกำไรปีละ 4-5 พันล้านบาท ครอบครัวมีความสำเร็จ ทุกยอ่าง แต่ในฐานะเพื่อนก็ไม่เคยคัดค้านในการลงเล่นการเมือง
“เขามีความเป็นตัวของตัวเองสูง เขาจะถาม คุณคิดไง คุณคิดยังไง การตัดสินใจอยู่ที่เขา เขาก็จะประมวลผลจากพวกเรา ส่วนเรื่องการเมืองเขาไม่มาถามพวกผมหรอก เพราะพวกเราไม่ใช่นักการเมือง เขาก็ต้องกลับไปถามฝ่ายการเมือง”
‘ศุภนิจ’เล่าความทรงจำที่ประทับใจถึง ‘เศรษฐา’ ว่า “ตั้งแต่เด็กจนโต มีลักษณะเด่นหมู่พวกเราอย่างหนึ่ง คุณเศรษฐามีความเป็นผู้นำ ทั้งที่ในกลุ่มเรา คุณเศรษฐาอายุน้อยสุด คนอื่นจะเกิดปี 2503 แต่คุณเศรษฐาเกิดปี 2505 แต่แกมีผู้ภาวะผู้นำ คือจัดให้หมด แกมีความละเอียด คนนั้นชอบอะไร คนนี้ชอบอะไร ไม่ชอบอะไรแล้วจะรู้หมดว่าตรงนี้ไปนั่นนะ ตรงนี้ไปนี่ จนถึงทุกวันนี้ แกก็ดูแลเพื่อนฝูง เพื่อนพูดตามตรงโชคดีที่สุดในกลุ่ม โชคดีที่มีแกเป็นเพื่อน เพราะสบาย”
“แกเป็นนักกีฬาเล่นอะไรก็ได้ดี ฟุตบอลเล่นได้ดี แกก็จะเล่นดีกว่าพวกเราหมด แต่ไม่เป็นไร ก็ได้สนุก ออกกำลัง ได้สรวลเสเฮฮา แล้วแกจะจัดหมด คนเก่งไม่อยู่กับคนเก่ง ก็จะบาลานซ์ แบ่งทีมแกจัดหมด ให้มันสูสีกัน อีกอย่างคุณเศรษฐาจะเป็นคนชอบรับประทาน แต่ก็โชคดีท่านเยอะแต่ก็ออกกำลังกายเยอะ ก็เลยยังหุ่นดีอยู่” ศุภนิจ เล่าด้วยความประทับใจ
‘ศุภนิจ’ บอกว่า ด้วยนิสัยของ ‘เศรษฐา’ เป็นคนพูดตรงไปตรงมา เป็นคนตรง ซึ่งไม่ใช่นิสัยของนักการเมือง และเพื่อนที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะยึดอยู่เสมอคือ ‘เป็นคนมีจรรยาบรรณ ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด’
“เขาอยากเห็นชีวิตคนไทยระดับล่างๆ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขารู้สึกไม่ดีเห็นคนนั้นลำบาก เขาเป็นคนอ่อนไหว จิตใจอยากเห็นคนที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขาสัมผัสคนนั้นคนนี้ไปกินก๋วยเตี๋ยว ก็คุย”
ตลอดช่วงการเสียงเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดที่ ‘เศรษฐา’ ได้ไปเดินพร้อมคณะ ‘เพื่อไทย’ เพื่อขอคะแนนเสียงจากประชาชนนั้น ‘ศุภนิจ’ ซึ่งได้ลองตามติดดูการหาเสียงของ ‘เศรษฐา’ ในบางพื้นที่และได้ฟังการปราศรัยของอดีตซีอีโอแห่งแสนสิริ
เขาถึงกลับยอมรับว่า อดีตซีอีโอ บมจ.แสนสิริ เปลี่ยนบุคลิกไปจากนักธุรกิจอยู่พอสมควร
“ไม่เหมือนเลย อยู่ซีอีโอ เขาเป็นคนที่ถ้าอยู่ในออฟฟิศ เป็นคนเป๊ะ คุณนิดเขาทุกอย่างต้องเป๊ะ คุณนัดกับเขา เขาเป็นคนเป๊ะ ตรงเวลา ประชุมนัดใครนี่ เป๊ะ เขาวางแผนปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเท่านี้ต้องเดินไปอย่างนี้ให้ได้ ยอดขายกำไรเท่านี้ต้องทำให้ได้ แล้วเขาจะหวดลูกน้อง เฮ้ยคุณต้องไปทำนี่ คุณต้องไปทำนี่ ตอนนี้เป็นคนยิ้มง่ายขึ้นเยอะ ก่อนหน้านั้นไม่ค่อยยิ้มง่าย ตอนเดินลงจากรถก็ยิ้ม อันนั้นก็ต้องเรียนว่า แกก็ยิ้มเก่งกว่าเดิมเยอะ แต่ผมว่าก็ถูกแล้ว คุณมาเล่นการเมือง คุณหน้าบึ้งๆ ใครเขาจะกล้าเข้ามา”
‘ศุภนิจ’ ยืนยันถึงบุคลิกของ ‘เศรษฐา’ มีจิตใจดี
“เขาเป็นคนมีเจตนาดี เขาสัมผัสได้ หัวถึงฟ้าเท้าถึงดินเป็นคนติดดิน เขาจะรู้อย่างที่บอก เขาจะเล่นหัวคนรอบด้านไม่ว่าเด็กอะไรพวกนี้ คนขายของ ไปสัมภาษณ์ไปใกล้ชิด เขาเป็นคนรักเด็ก มีความเห็นออกเห็นใจคนที่เรียกว่า ที่ฐานะ เขาเรียกว่าอะไร ด้อยโอกาส เขาจะมีความเห็นอกเห็นใจ”
“ขนาดผมตามไปเฉยๆนะ ลงจากเวทีคิดต่อไปแล้ว ก่อนขึ้นเวทีผมเห็นแกเอากระดาษมานั่งเขียนเอง แล้วพัฒนาการเร็วมาก เขาเป็นคนที่ฉลาดมากที่สุดคนหนึ่งที่ผมรู้จักมา พัฒนาการจากเวทีแรก เวทีแรกๆต้องอ่านโพย ที่เมืองทองธานี มีโพยอ่าน ผมก็แบบก็โอเค แต่หลังจากนั้นก็ธรรมชาติ ไม่คิดว่าพัฒนาเร็วขนาดนี้ อาจเป็นเพราะถ้าเขาสนใจตั้งใจเขาจะทำให้ได้”
ประโยคที่ ‘ศุภนิจ’ บอกว่าได้ฟัง’เศรษฐา’ พูดแล้วกินใจเป็นอย่างมาก ระหว่างเดินสายหาเสียงทั่วประเทศก่อนถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 คือ “เอาหัวใจประชาชน เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง หัวใจเขาอยากให้ประชาชนทุกคนได้ฟังประชาชน เขาถึงลงพื้นที่แล้วไปคุยกับผู้ประกอบการ คุยชาวบ้าน ฟังความเดือดร้อน”
“เอาหัวใจประชาชน เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง หัวใจเขาอยากให้ประชาชนทุกคนได้ฟังประชาชน เขาถึงลงพื้นที่แล้วไปคุยกับผู้ประกอบการ คุยชาวบ้าน ฟังความเดือดร้อน เรื่องยาเสพติด ผมเดินตามแก ชาวบ้าน ทั้งที่ผมแค่ผู้ติดตาม ชาวบ้านบอกช่วยหน่อยลูกติดยา ลูกชายทำไงดี แต่แทนที่มาช่วยพ่อแม่ทำงาน คือสังคมมันแย่ พ่อแม่ ทำมาหากิน โตลูกจะมาทำงานมาเลี้ยงช่วยพ่อแม่ กลายเป็นว่ามาติดยา พ่อแม่แก่เฒ่าทำงานต่อไป
ก่อนที่ผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างเป็นทางการ ‘ศุภนิจ’ ยังคิดว่าถ้าพรรคเพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ เพื่อนที่รักอาจถอดใจไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เป็นได้
“ถ้าไม่ได้แลนด์สไลด์นะ แล้วพรรคเพื่อไทยได้กระทรวงไปแค่ไม่กี่กระทรวง ก็ทำไม่ได้เต็มที่ ผมไม่แน่ใจแกยังอยากจะเป็นนายกฯ หรือเปล่า”
เมื่อผลเลือกตั้งออกมา ปรากฎว่า พรรคเพื่อไทยได้ สส.เพียง 141 ที่นั่ง เข้าป้ายมาเป็นอันดับ 2 รองจากพรรคก้าวไกล 151 ที่นั่ง
“ใจหนึ่งผมก็ไม่อยากให้เป็นนายกฯ เพราะว่าอย่างที่บอกว่าชีวิตคุณสบายอยู่แล้วจะไปลำบากทำไม ร้อยพ่อพันแม่ใครจะมาชมได้ทุกคน คนนี้คิดอย่างใครจะมานั่งอวยเขาได้ มันก็มีคนด่าคนที่เขาเสียประโยชน์มาด่ามาว่ากระแนะกระแหน แล้วเขาก็เป็นคนมาให้ขุ่นข้องจิตใจทำไม”
‘ศุภนิจ’ เล่าต่อว่า “คุณนิดจากที่ผมเห็นเป็นคนมีความสามารถที่พิสูจน์ได้จริง ธุรกิจที่แกสร้างขึ้นมาจากศูนย์มาขนาดนี้”
‘ศุภนิจ’ เชื่อว่าถึงเวลาที่ ‘เพื่อนเศรษฐา’ จะได้ทำความฝันอันยิ่งใหญ่ตามแคมเปญ ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ ถึงเวลา ‘เพื่อไทย เดินหน้าแก้วิกฤตการณ์ที่ประเทศไทยต้องเสียโอกาส จากการไม่มีรัฐบาลทางการมา 3 เดือนหลังเลือกตั้ง
“เขาเป็นคนติดดิน…นิสัยคุณนิดไม่ใช่นิสัยนักการเมือง ตรงไปตรงมา เขาคือเป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถคนหนึ่งที่เคยเห็นมา”
เพื่อนสนิทของว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 บอกถึง ‘เพื่อน’ ที่สนิทมาตลอดทั้งชีวิตว่า “คุณนิด หัวถึงฟ้า เท้าถึงดิน ติดดิน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง