อาจเรียกว่า “นกรู้” หรือ “ยอมรับสภาพ” โดยปริยายเมื่อ “เสี่ยหนู” นายอุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บอกว่า น้อมรับคำตัดสิน กับคดีการพ้นสมาชิกภาพของ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่
จากกรณียังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้น หรือ กิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นการกระทำต้องห้าม ตามรัฐธรรมนูญ ม. 187 ประกอบ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี มาตรา 4(1)
“เสี่ยหนู” บอกว่า ในการประชุมพรรคครั้งล่าสุดว่าตนเองและลูกพรรคก็ได้ให้กำลังใจ นายศักดิ์สยาม แล้ว
อ่านข่าว : จับกระแสการเมือง: วันที่ 16 ม.ค.2567 เปิดศึกเดือด 3 พรรค เผือกร้อนการเมืองเบื้องหลัง “หมูเถื่อน”
ล่าสุด ในช่วงบ่ายที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 : 1 ให้ความเป็นรัฐมนตรี ของ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” สิ้นสุดลง นับแต่วันที่ศาลหยุดสั่งปฏิบัติหน้าที่ คือวันที่ 3 มี.ค.66 จากนี้จึงต้องรอดูก้าวต่อไปของ “ศักดิ์สยาม” ว่าจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปในอนาคตทางการเมือง
หลังทราบคำวินิจฉัยของศาลฯ “ศักดิ์สยาม” ให้สัมภาษณ์นักข่าวสั้น ๆ ว่า “ไม่ได้รู้สึกอะไร เคารพคำวินิจฉัยของศาลฯ เมื่อนักข่าวถามว่า มีผลต่ออนาคตทางการเมืองหรือไม่ “ศักดิ์สยาม” ย้ำว่า ขอคัดคำวินิจฉัยของศาลฯก่อน แล้วเดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันที
นอกเหนือจากคดี “ศักดิ์สยาม” แล้ว ยังมีอีก 2 คิวร้อน ที่ต้องจับตาอย่างต่อเนื่อง และคนที่ต้องใจเต้นตุ้มต่อม ๆ อยู่ก็หนีไม่พ้นคดีถือหุ้นสื่อของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”ว่าจะพ้นสถานะ สส.หรือไม่ แม้ว่าเจ้าตัวจะให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่าค่อนข้างพอใจกับการชี้แจงต่อศาลฯในครั้งล่าสุด
อ่านข่าว : จับกระแสการเมือง : วันที่ 26 ต.ค.2566 ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ใครขีดเส้นแบ่ง “จน-รวย”
“คดีถือหุ้นสื่อ” เรียกได้ว่า เป็นการชี้ชะตาทางการเมือง ครั้งสำคัญอย่างยิ่งของ “พิธา” หลังก่อนหน้านี้จะเตรียมวางแผนทางการเมืองเอาไว้แล้วเพื่อรองรับเอาไว้แล้วทั้งการส่งไม้ต่อตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกลให้ “หัวหน้าต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน ทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภา โดยตนเองรับหน้ที่ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค และยังคงเดินหน้าลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมจางหายจากหน้าสื่อไปง่าย ๆ
แต่ความวุ่นวายยังไม่จบไม่สิ้นง่าย ๆ “พิธา” ยังมีอีกคดีที่ต้องลุ้นอย่างหนักไม่แพ้กัน คือ คดีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ ม.49 ว่าการกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เสนอแก้ไขยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่
อ่านข่าว : “ศักดิ์สยาม” ลาออก สส.-เลขาฯพรรคภูมิใจไทย “เพลง ชนม์ทิดา” เข้าสภาแทน
คดีนี้ นักวิเคราะห์ทางการเมืองมองว่า ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงต่อพรรคก้าวไกลอย่างสูง หากผลออกมาทางลบที่ไม่ต้องถึงขั้นยุบพรรคก้าวไกล แต่ผลวินิจฉัยอาจจะส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างสูง
ยิ่งหากเทียบเคียงกับกรณีก่อนหน้าที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง-ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดี “ช่อ” “พรรณิการ์ วานิช” กรณีโพสต์ภาพและข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ พาดพิงเบื้องสถาบันฯ
ที่ต้องขีดเส้นใต้เน้นเป็นอย่างยิ่งก็คือ กรณีดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ ม.235 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ม.87 และมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 6 ประกอบ ข้อ 29 วรรคหนึ่ง ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญ ม.235 วรรคสามและวรรคสี่
อ่านข่าว : มติ ศาล รธน.ให้ความเป็นรัฐมนตรี “ศักดิ์สยาม” สิ้นสุดตั้งแต่ 3 มี.ค.66 คดีซุกหุ้นบุรีเจริญ
หากมีผู้ขยายผลยื่นให้เอาผิด 44 สส.ที่ร่วมลงชื่อยกเลิก ม.112 ว่าการกระทำดังกล่าวอาจเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ ม.235 บรรดา สส.ทั้ง 44 คนอาจถูกดับอนาคตทางการเมืองเฉกเช่น “ช่อ พรรณิการ์” ก็เป็นได้
เมื่อไล่เรียงรายชื่อ สส.ทั้ง 44 คน ก็พบว่ามีบรรดา “บิ๊กเนม” ของพรรคก้าวไกล หลายคนไม่ว่าจะเป็น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รองอ๋อง ปดิพัทธ์ สันติภาดา, “ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล, เบญจา แสงจันทร์, เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร, ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์,ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล, ณัฐวุฒิ บัวประทุม,วิโรจน์ ลักขณาอดิศร และ รังสิมันต์ โรม
เรียกได้ว่า ไม่ต้องถึงขั้นยุบพรรค พรรคก้าวไกลก็จะสูญเสียเหล่าแม่ทัพนายกองสำคัญทางการเมืองไปอย่างมาก
อ่านข่าว : ศาลยกฟ้อง “พธม.” บุกสนามบินดอนเมือง สั่งปรับ 13 จำเลยคนละ 2 หมื่น
ดังนั้นในเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนนับจากนี้ ถือว่าเป็นนาทีชี้เป็นชี้ตายสำคัญของพรรคก้าวไกล ที่ยังเหลือคดีสำคัญอยู่ในการพิจารณา ซึ่งไม่รู้ว่าจะออกมาในทิศทางใด จะอยู่รอดปลอดภัย หรือ อาจประสบชะตากรรมเดียวกันกับ “ศักดิ์สยาม” หรืออาจรุนแรงถึงขั้นไหน โปรดจงติดตาม…