หน้าแรก Thai PBS จับกระแสการเมือง 18 ต.ค.66 : ‘เศรษฐา’ บินรอบโลก รับแรงงานไทยกลับยังบินอ้อม

จับกระแสการเมือง 18 ต.ค.66 : ‘เศรษฐา’ บินรอบโลก รับแรงงานไทยกลับยังบินอ้อม

81
0
จับกระแสการเมือง-18-ตค.66-:-‘เศรษฐา’-บินรอบโลก-รับแรงงานไทยกลับยังบินอ้อม

สงครามระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาส ในดินแดนปาเลสไตน์ ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.66 ที่ผ่านมา นับถึงวันนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 11 วันแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบตรงๆ หนีไม่พ้นแรงงานไทยนับหมื่นพื้นที่ฉนวนกาซา 

จังหวะเวลาเดียวกับ นายกฯนิด “เศรษฐา ทวีสิน” ในฐานะรมว.คลัง เดินสายทั้งในและนอกประเทศ เพื่อมุ่งเจรจาการค้าฟื้นการลงทุน เนื่องจาก “รัฐบาลเศรษฐา” ตั้งเป้าพลิกเศรษฐกิจให้เติบโตเพื่อที่จะเป็นผลงาน “ชิ้นโบว์แดง” ของรัฐบาล 

นโยบายฟรีวีซา ให้ชาวจีนและคาซัคสถาน เพื่อกระตุ้นภาพการท่องเที่ยว

นโยบายฟรีวีซา ให้ชาวจีนและคาซัคสถาน เพื่อกระตุ้นภาพการท่องเที่ยว

รีแอคชั่นแรก หลังเกิดเหตุรุนแรงขึ้น  “นายกฯนิด” โพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าวประณามการโจมตีครั้งนี้ที่นำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์และพลเรือนได้รับบาดเจ็บ

เราขอประณามการโจมตีครั้งนี้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์และพลเรือนได้รับบาดเจ็บอย่างน่าสลดใจ เรากังวลอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของชาวต่างชาติทุกคนรวมถึงชาวไทยด้วย เราติดต่ออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความปลอดภัยและการคุ้มครองพลเมืองไทยของเราในอิสราเอลซึ่งมีความสำคัญสูงสุด เรายังหวังว่าสถานการณ์ที่ยากลำบากในอิสราเอลจะคลี่คลายในไม่ช้า

สถานการณ์รุนแรงของแรงงานไทยยังน่าเป็นห่วง แต่ คิวเดินสายต่างประเทศของ “นายกฯนิด” ก็ยังคงเดินหน้าต่อตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 8 – 12 ต.ค.66 นี้ “นายกฯนิด” มีกำหนดเยือน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และเดินทางเยือนประเทศอาเซียน 3 ประเทศ ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย และ สิงคโปร์ เพื่อแนะนำตัวและกระชับความร่วมมือระหว่างกันทั้งในมิติทวิภาคีและความร่วมมือในภูมิภาค

วันที่ 9 ต.ค. นายกฯนิด บินตรงฮ่องกง กำหนดการพบกับนายจอห์น ลี คา-ชิว ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และพบปะกับนักธุรกิจและภาคเอกชนที่สำคัญของฮ่องกงเพื่อเชิญชวนให้มาลงทุนในไทย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ในฐานะที่ทรงเป็นผู้นำที่อาวุโสสูงสุดในอาเซียน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ในฐานะที่ทรงเป็นผู้นำที่อาวุโสสูงสุดในอาเซียน

ต่อด้วยการเดินทางไป “บรูไน” ในวันที่ 10 ต.ค.66 เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ในฐานะที่ทรงเป็นผู้นำที่อาวุโสสูงสุดในอาเซียน และเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและบรูไนฯ ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในทุกด้าน

จากนั้นวันที่ 11 ต.ค.66 นายกฯ จะพบและหารือกับนายกฯมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับมาเลเซียให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในทุกด้าน และเดินทางเยือน “สิงคโปร์ ” ในวันที่ 12 ต.ค.66 โดยหารือกับนายกฯสิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น  

นายกฯ เข้าพบและหารือกับนายกฯมาเลเซีย

นายกฯ เข้าพบและหารือกับนายกฯมาเลเซีย

จากนั้น “นายกฯนิด” เดินทางข้ามจากอาเซียน เพื่อร่วมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation: BRF) ครั้งที่ 3 และถือเป็นเดินทางเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ

“นายกฯนิด” ได้พบปะและหารือกับผู้นำโลกทวิภาคีกับนายวลาดิมีร์ ปูติน

ในระหว่างการร่วมเวทีดังกล่าว “นายกฯนิด” ได้พบปะและหารือกับผู้นำโลกทวิภาคีกับนายวลาดิมีร์ ปูติน (Mr. Vladimir Putin) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย เมื่อเย็นวันที่ 17 ต.ค.ด้วย ด้วย

และได้เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำโดยนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนและภริยาเป็นเจ้าภาพ ในการเข้าร่วมการประชุมเวทีดังกล่าว และ “นายกฯนิด” ก็ให้สัมภาษณ์ว่า จะใช้โอกาสนี้ในการร่วมแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกัน ซึ่งจะมีการรับประทานอาหารค่ำกับผู้นำ 23 ประเทศด้วย ซึ่งอาจจะได้มีการพูดคุยกันบ้าง

ผู้นำ 23 ประเทศ ร่วมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation: BRF) ครั้งที่ 3

ผู้นำ 23 ประเทศ ร่วมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation: BRF) ครั้งที่ 3

ในระหว่างนี้ นายกฯเศรษฐา ก็สั่งการรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และฝ่ายความมั่นคงอย่างต่อนเนื่องในการระดมสรรพกำลังทางหน่วยงานภาครัฐทั้ง กองทัพอากาศ ในการเร่งอพยพคนไทย

รวมถึงการขอความร่วมมือกับสายการบินพาณิชย์ที่ตอบรับให้ความร่วมมือรับคนไทยกลับจากอิสราเอลทั้งสายการบินไทย แอร์ เอเชีย นกแอร์ และการบินไทย ซึ่งการบินไทยก็บินเที่ยวแรกไปรับคนไทยกลับมาเรียบร้อยแล้ว ตามเป้าหมายที่นายเศรษฐา ต้องการให้อพยพคนไทยทั้งหมดจากอิสราเอลให้กลับสู่ผืนแผ่นดินไทยให้ได้ภายในเดือน พ.ย.นี้   

หากรวมการเดินทางในช่วงก่อนหน้านี้ “นายกฯนิด” ยังได้เดินทางเยือนนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ในการร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 78 (UNGA78) และเดินทางเยือนกัมพูชาแบบไป เช้า -เย็นกลับ เมื่อวันวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา และเป็นการเดินทางเยือนกัมพูชาเป็นประเทศแรกในอาเซียน

นายกฯเดินทางเยือนกัมพูชาแบบไป เช้า -เย็นกลับ เป็นการเดินทางชาติอาเซียนประเทศแรก

นายกฯเดินทางเยือนกัมพูชาแบบไป เช้า -เย็นกลับ เป็นการเดินทางชาติอาเซียนประเทศแรก

เรียกได้ว่า “นายกฯนิด” เดินสายไปต่างประเทศพบผู้นำนับสิบกว่าประเทศแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่อิสราเอลและฮามาส ก็ประสานความร่วมมือทั้งรูปแบบทางการและไม่เป็นทางการ กับนานาประเทศ เพื่ออพยพแรงงานไทยกลับจากอิสราเอลโดยเร็วที่สุด 

แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคำถามถึงการอพยพคนไทยที่บางส่วนมองว่า “ล่าช้า” โดยเฉพาะเที่ยวบินของกองทัพอากาศ ซึ่งใช้เวลารวมกว่า 12.40 ชม. ซึ่งจากการเปิดเผยโดยกองทัพอากาศที่ต้องบินขึ้นเหนือผ่านประเทศลาว, จีน คาซัคสถาน, อุซเบกิสถาน, เติร์กเมนิสถาน, อาเซอร์ไบจาน, อาร์มิเนีย,ตุรกี,ไซปรัส และอิสราเอล จึงทำให้ใช้เวลาราว 12.40 น.

แทนที่จะบินตรง ผ่านอินเดีย ประเทศตะวันออกกลางทั้ง เอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต จอร์แดน และอิสราเอล โดยใช้เวลาประมาณ 8 ชม.กว่า ซึ่งสายการบินพาณิชย์ เช่น สายการบิน ElAI สายการบินแห่งชาติของอิสเราเอล หรือ สายการบิน Fly Dubai  ก็สามารถบินเส้นทางดังกล่าวได้ ซึ่งใช้เวลาเดินทางน้อยกว่าถึง 4 ชม.

แม้ “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” รมว.การต่างประเทศ จะชี้แจงว่า การบินผ่านน่านฟ้าของแต่ละสายการบินมีความแตกต่างกัน โดย กองทัพอากาศจะต้องบินอ้อมไปบ้าง ขณะที่เครื่องบินที่ไม่เคยบินผ่านมาก่อนก็จะต้องทำข้อตกลงใหม่ ขณะที่สายการบินพาณิชย์สามารถบินตรงได้ 

อยากให้สื่อมวลชนและประชาชนเข้าใจ ที่จะทำให้คนไทยว่าทำอย่างไรก็ได้ให้คนไทยกลับสู่ประเทศไทยอย่างปลอดภัยและเร็วที่สุด ถึงแม้จะใช้เวลาเพิ่มไปอีก 1-2 ชม.ก็ตามที

ขณะที่ ข้อมูลจากเพจ Thaiarmforce ซึ่งเป็นเพจเกี่ยวกับข้อมูลทางการทหาร ก็ตั้งคำถามว่า เที่ยวบินทหารของประเทศเกาหลีใต้ สามารถบินสามารถบินเข้า – ออก อิสราเอลโดยผ่านตะวันออกกลางได้โดยไม่ต้องบินอ้อม เหมือนกับกองทัพอากาศไทย 

ท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของทั้ง 2 ประเทศ การเสียเวลาเพียง 1 ชม.ก็ถือว่ามีค่า ก็ทำให้เกิดคำถามว่า “รัฐบาลเศรษฐา” มีปัญหาด้านการทูตหรือไม่    

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่